งานนี้จัดเมื่อวันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2556 ที่สวนลุมฯ เป็นการวิ่งที่ไม่ได้คาดหวังอะไรกับตัวเองเลย เหตุผลที่คิดแบบนั้น คือ
- หยุดซ้อมมาเป็นอาทิตย์
- รู้สึกเหนื่อยล้า จากการทำงานที่ต้อง ตื่นตี 3:30 เลิกงานห้าทุ่ม-เที่ยงคืน กว่าจะได้กลับบ้านนอน ตี 1 คือแทบไม่ได้นอนเลยติดต่อกันเป็นอาทิตย์
- น้ำหนักตัวมากขึ้น
- ที่หนักใจกว่า คือ ยังมีอาการปวดที่เข่าซ้าย และต้นขาขวา
ดูจากปัจจัยต่างๆ แล้วไม่น่ารอด แต่ด้วยความที่คิดถึงการวิ่งมากเสียจนไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น อยากจะขยับแข้ง ขยับขา ออกวิ่งให้สมใจอยาก ก็เลยพาตัวเองมายืนรออยู่ที่เส้นสตาร์ทจนได้
นาฬิกา Garmin ยังซ่อมไม่เสร็จ ครั้งนี้เลยต้องพก iPhone ติดตัวไว้ เพื่อจับเวลา และระยะทางเก็บไว้เป็นสถิติ
เช้านี้ มีจำนวนนักวิ่งไม่มากเท่ากับงานวิ่งมิตซูบิชิ สะพานพระราม 8 ที่ผ่านมา ตอนยืนเบียดกับเพื่อนๆ นักวิ่งทั้งหลายตรงจุดสตาร์ท เริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนของเดือนเมษายนแล้ว ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้นไปอีก ไม่มีความเฮิกเหิมในใจหลงเหลืออยู่ แต่กลับรู้สึกสงบ สบายใจ และดีใจที่ได้กลับมาวิ่งอีกครั้ง
เวลาปล่อยตัว ตามกำหนด คือ 6.00 น. ฟ้าสว่างแล้ว เวลาเริ่มออกวิ่งจริงประมาณ 6.10 น. ยืนรออยู่ด้านท้ายขบวน ตอนเริ่มออกตัวจึงต้องวิ่งหลบนักวิ่งที่ไม่รีบร้อน ต้องวิ่งซิกแซกไปมา กว่าจะหลุดจากวงล้อมได้ก็เกือบๆ พ้นระยะ 1 กม. ครีมนวดที่ใช้นวดเข่า และต้นขาขวาออกฤทธิ์อย่างได้ผล รู้สึกร้อนจนชา ทำให้วิ่งได้จังหวะสม่ำเสมอ เสียง iPhone บอก pace เฉลี่ย ว่าประมาณ 5.30 min/km แปลกใจที่ไม่รู้สึกเหนื่อยมากมาย การหอบหายใจ ไม่ติดขัด เลยจับเอาจังหวะการลงเท้าแบบที่กำลังวิ่งอยู่ให้คงที่
ด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นตามเวลา จึงต้องหยุดรับน้ำ ทุกจุดให้น้ำ พอพ้นจุดให้น้ำจุดแรก เข้าสู่ กม. 3 เข่าซ้ายเริ่มเรียกร้องความสนใจ ส่วนต้นขาขวานั้นไม่รู้สึกปวดเลย การลงจังหวะน้ำหนักเท้าสองข้างจึงไม่เท่ากัน รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วเลยไม่ตกใจอะไร เจ็บแต่ไม่เหนื่อยมาก ยังสามารถรักษารอบขาได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่เสียกำลังใจ
อากาศอบอ้าว จนเหงื่อไหลจากหน้าผาก ท่วมใบหน้า เอามือขึ้นลูบเหงื่อออก นึกขึ้นได้ว่า เมื่อตะกี้ทาครีม ยังไม่ได้ล้างมือ ชิบหายละ หน้าร้อนวูบขึ้นมาทันที นั่นยังไม่เลวร้ายเท่า พอเหงื่อออกอีกรอบ มันไหลเข้าตา ทั้งแสบทั้งร้อน เงอะงะๆ อยู่ไม่เป็นสุข พยายามใช้ต้นแขนเช็ดเหงื่อออก จนถึงจุดให้น้ำ หยิบน้ำมา 2 แก้ว ดื่มไป ล้างมือไป
พอใจที่คุมจังหวะการวิ่ง และการหายใจหนนี้ได้ดี
กม.ที่ 9 เห็นคุณฮั้ว เจ้าของบล็อก
Journey of Running for a New Healthy Life ใส่เสื้อสีเหลือง (น่าจะจำไม่ผิดคน) วิ่งแซงขึ้นมา จะส่งเสียงทักทายกันตอนนี้ คงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก เกรงใจ เพราะท่าทางเธอกำลังมีสมาธิกับการวิ่งของตัวเองอยู่ เลยวิ่งหอบตามอยู่ด้านหลังห่างๆ ท่าวิ่งของคุณฮั้ว มีจังหวะที่สม่ำเสมอและมั่นคง ดูเหมือนไม่เหนื่อย pace ของเธอในช่วงนั้น คงไม่ต่ำกว่า 5.30 แน่ๆ ผิดกับเราที่เริ่มปวดหัวเข่ามากขึ้น คุณฮั้วเลยวิ่งทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับตา
จากนั้น ฝืนทนว่ิงจังหวะเดิมต่อไปไม่ไหว จำใจต้องลดความเร็วลง จนกระทั่งถึงเส้น Finish
หลังจากรับเหรียญแล้ว รู้สึกกระหายน้ำมาก เดินไปเข้าคิวรับน้ำดื่ม แทบทุกซุ้มไม่ว่าจะเป็น กระทิงแดง, สปอนเซอร์ (สารภาพว่าเดิน วนไปรับ 2 รอบ) , แมนซั่ม และน้ำชาสมุนไพร ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ไปรับของที่ฝากไว้คืน ระหว่างจะเดินทางกลับ เหลือบไปเห็น คุณ Berry View กำลังยืนคุยกับกลุ่มเพื่อน ส่งยิ้มทักทายไป
คุณ Berry จำเราได้ (จำได้ยังไง?)
ยื่นมือออกไป ขอจับมือทักทาย
"ช่วงนี้ งานเยอะเหรอ?" Berry ทัก
"ครับ ไม่ได้ซ้อมเลย แต่อยากวิ่งมากๆ ก็เลยมาวันนี้ :)"
"Enjoy ครับ , Enjoy" Berry สรุป
นั่นเป็นบทสนทนาสั้นๆ ยินดีที่ได้เจอเพื่อนตัวจริง จากโลกไซเบอร์ :)
นั่งจิ้มดูสถิติใน iPhone การวิ่งครั้งนี้ ทุบสถิติ PB ไปรวดเดียว 6 สถิติ
ทั้งๆ ที่ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย กลับทำเวลาได้ดีขึ้น และไม่เหนื่อยเท่าที่เคย อืมมมม หรือเป็นเพราะการที่วิ่งแบบสบายใจ ไม่กดดันตัวเอง จึงทำให้อะไรๆ ดีกว่าที่คิด ทำให้รู้ว่า จิตวิทยามีผลต่อการวิ่งมากทีเดียว
อาการปวดที่เป็นอยู่:
ตอนยืดเหยียด รู้สึกปวดเข่าซ้ายมากขึ้น เจ็บแปล๊บ ทุกครั้งที่งอเข่า หรือก้าวเดิน เริ่มรู้สึกผิดปกติแล้ว เพราะไม่เคยปวดเข่าขนาดนี้มาก่อน
อาการเริ่มหนักขึ้น ตอนเดินทางกลับบ้าน ขึ้น-ลงบันไดรถไฟใต้ดิน ปวดจนแทบเดินไม่ได้ กลับถึงบ้านรีบประคบเย็น แต่ก็ช่วยทุเลาอาการปวดได้ชั่วคราว ตกกลางคืน ปวดทุกครั้งที่ขยับเข่า นอนไม่หลับทั้งคืน
กระทั่งตอนเย็นวันถัดมา อาการปวดลดลง หวังว่าคงไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นนะ