ก่อนวันแข่งไปรับเบอร์ (Bib), Chip ติดรองเท้า และเสื้อ ถึงโรงแรมที่จัดงานประมาณเที่ยง คนยังน้อยอยู่ การลงทะเบียนรับของ เป็นไปอย่างราบรื่น สะดวก รวดเร็ว ไม่มีปัญหาติดขัด รู้สึกประทับใจกับการจัดการของ Go Adventure asia ผู้จัดงานมาก เพราะประสบการณ์จากงานวิ่งต่างๆ ที่ผ่านมา แทบทุกงาน มีเรื่องให้หงุดหงิดใจเสมอ อีกอย่างเมื่อเทียบกับค่าสมัคร 300 บาทแล้ว ยิ่งรู้สึกว่าคุ้มค่าขึ้นไปอีก เราวิ่งระยะ 10K มีชิปให้ด้วย! ปกติระยะคนวิ่ง 10K จะเหมือนเป็นลูกเมียน้อย คนวิ่ง 10K เป็นประจำน่าจะเข้าใจกัน แต่ผู้จัดงานนี้ ทำให้รู้สึกว่า ถึงเป็นลูกเมียน้อย พ่อก็ยังรักนะ
พอลงทะเบียนเสร็จ ก็เดินกลับลงมาเซ็นชื่อร่วมขบวนการนักวิ่งสีเขียวที่เต้นท์ บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าโรงแรม สอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่า นักวิ่งสีเขียว คือกลุ่มนักวิ่งที่ตั้งใจทำลายโลกให้น้อยที่สุด สัญญาว่าจะไม่ทิ้งขยะระหว่างทาง ไม่ทำลายธรรมชาติ ลดการใช้แก้วพลาสติก โดยใช้แก้วน้ำที่เอามาเอง หรือใช้แก้วพลาสติกเพียงแก้วเดียวตลอดระยะทางวิ่ง ทำยังไง? ก็วิ่งไป ถือแก้วน้ำติดตัวไปจนถึงจุด Finish นั่นเอง
เช้าตรู่วันแข่ง ขับรถออกจากที่พักตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง อากาศเย็นสบาย สูดอากาศได้เต็มปอด ถึงสถานที่ประมาณตี 5 ไปทันเห็นการปล่อยตัวนักวิ่งระยะ 100 กม.และ 50 กม. นักวิ่งน่องเหล็กเหล่านี้ ออกตัวกันแบบเบาๆ ได้ยินเสียงหัวเราะ เอิ๊กอ๊าก วิ่งไป คุยกันไปอย่างสำราญใจ คิดในใจ... ขอโทษนะฮะ... พวกพี่คิดว่ากำลังเดินไปซื้อหนมจีบ-ซาลาเปา ที่ 7-11 ปากซอยหน้าบ้านกันหรือไรฮะ? นี่มัน 100 กม.นะ!
หนทางข้างหน้าของพวกเขา อีกโคตรไกล....ทุกคนวิ่งเหยาะๆ ไม่รีบมาก เดี๋ยวจะเดี้ยงระหว่างทางซะก่อน แสงไฟฉายที่หน้าผากของทุกคนทำให้ทางขรุขระที่มืดสนิท สว่างขึ้นมาบ้าง ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นมาทำงาน ประกอบกับทางวิ่งเป็นดินลูกรังอย่างนี้ หากไม่ระวังตัว วิ่งเพลิน ไม่ดูตาม้าตาเรือ อาจเกิดอันตราย ไปสะดุดหินกรวดหรือตกหลุมร่องดิน หน้าทิ่ม ข้อเท้าพลิกได้ง่ายๆ นอกจากไฟฉายแล้ว น้อยคนที่ไม่มีกระเป๋าน้ำสะพายใส่หลังไว้ดื่มระหว่างทาง บางคนถือไม้เท้าติดตัวไปด้วย ภาพที่เห็นทำให้ขนลุกซู่ และตื่นเต้นไปกับเพื่อนนักวิ่งเหล่านั้น
คนที่วิ่ง 100 กม.ได้นี่ แข็งแรงอย่างเดียวไม่พอแน่ ก่อนตัดสินใจลงแข่ง ต้องได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองมาบ้าง หรือไม่ก็ต้องมีความบ้าบิ่นมากๆ ด้วย การวิ่ง Ultra marathon 100K มันคือการทรมานสังขารดีๆ นี่เอง นักวิ่งพวกนี้ต้องยกให้เป็นฝูงมนุษย์พันธุ์พิเศษ เทียบกับเราเคยวิ่งไกลสุดแค่ 10K ยังรู้สึกเหนื่อยและท้อทุกครั้ง ลองจินตนาการคูณ 10 เข้าไปทั้งระยะทาง ความเหนื่อย ความท้อ และความอึดแล้ว นึกไม่ออกว่าสภาพร่างกายตัวเองจะจบยังไง?
ว่าไปแล้ว การวิ่งมีมนต์เสน่ห์เฉพาะตัวของมัน หลังจากเหนื่อยแทบขาดใจ ขณะเร่งสปีดท้าทายขีดจำกัดของร่างกายตัวเอง (ไม่รู้คนอื่นเป็นหรือเปล่า?) เสร็จสิ้นการแข่งขันที่เส้น Finish ทุกครั้งมักเกิดความคิดที่ว่า เออ...มันส์ดี อยากวิ่งต่ออีก แรงยังเหลือ ท้ายที่สุดก็หาเรื่องกลับไปวิ่งอีก ทั้งอยากเพิ่มระยะทางวิ่งให้ไกลขึ้นอีก อย่างนี้จะเรียกว่าอย่างไรดี? บ้า/ เพี้ยน /ไม่เข็ด / ท้าทายตัวเอง? คิดเอาเองว่า พวกนักวิ่งระยะไกล คือ พวกมาโซคิสม์ (Masochism) ชอบความเจ็บปวด มีความสุขไปกับความทรมานขณะวิ่ง? จะอะไรก็ตาม การวิ่งมันเรียกร้อง และมีแรงดึงดูดให้เรากลับไปสู่สนามวิ่งเสมอ
พวกติดวิ่งน่าจะรู้ดีว่า บางวันอยากวิ่ง การฝืนใจ "ไม่ให้" ออกไปวิ่ง นี่ยากมากนะ คืออารมณ์ประมาณ "กูอยากวิ่งโว้ย" โลกจะแตก ฝนจะตก แดดจะออก ก็ต้องออกไปวิ่งให้ได้ วันไหนกำลังเตรียมตัวออกจากบ้านเพื่อวิ่ง แล้วฝนตก มีเคืองอ่ะ บางครั้งออกวิ่งทั้งๆ ที่ฝนตกนั่นแหละ ฟ้าจะฝ่าก็ให้มันรู้ไป ฟังดูตลก แต่ใครไม่เจอกับตัวเองไม่มีทางรู้ บางคนถึงขั้นบ้าตะบี้ตะบันฝึกซ้อมไม่ลืมหูลืมตา ข้าจะวิ่งๆๆๆๆ อย่างเดียว ไม่มีวันพัก หากไม่แกร่งพอ นั่นอาจกลายเป็นโศกนาฏกรรมทางร่างกายได้ เริ่มเข้าใจพวกที่ติดยาเสพติด ก็อีตอนติดวิ่งนี่แหละ
ประมาณ 6 โมงเช้า เป็นเวลาปล่อยตัวนักวิ่งระยะ 25K เป็นระยะทางที่เราไม่พลาดแน่ๆ ในครั้งหน้าอย่างน้อยต้อง 25K ขึ้นไป แต่ครั้งนี้สมัครระยะ 10K ไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ตอนเค้าไปตั้งโต๊ะรับสมัครหน้างานกรุงเทพมาราธอน 2012 ยืนเชียร์นักวิ่ง 25K ออกตัวไปจนหมด ได้เวลาเตรียมตัวเองให้พร้อม วิ่งเหยาะวอร์มอัพ ยืดเส้นยืดสายที่บริเวณด้านข้างจุด Start เป็นเนินเล็กๆ ให้วิ่งขึ้นวิ่งลงเล่นๆ วิ่งไป-กลับอยู่หลายรอบ จนหอบได้เหงื่อ ได้ยินเสียงประกาศเรียกให้นักวิ่งไปรอที่จุดปล่อยตัว ระหว่างรอเวลาได้ทำความรู้จักกับเพื่อนนักวิ่งจากเอกวาดอร์ที่ยืนเหงาอยู่ข้างๆ เลยชวนคุย เค้าบอกว่า มาวิ่งกับเพื่อนอีก 2 คน แต่เพื่อนวิ่งระยะ 100K กับ 50K ตัวเองมาวิ่งครั้งแรก ซ้อมมาแค่อาทิตย์เดียว ขอลง 10K ดูก่อน
เวลา 6.30 น. เสียงแตรสัญญาณปล่อยตัวนักวิ่งระยะ 10K ดังขึ้น มีนักวิ่งประมาณ 500 คน ฟ้าเริ่มสว่าง จึงไม่มีปัญหาในการมองทางวิ่ง แข่งครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว สะพานพระราม 8 วิ่ง pace เฉลี่ย 6.36 min/km ครั้งนี้ตั้งใจจะทำลายสถิติเดิม ไม่ได้ตั้งความหวังไว้สูงเพราะทางไม่เรียบเหมือนวิ่งบนสะพาน ขอให้ได้ประมาณ 6.10 - 6.20 min/km ก็พอใจแล้ว
ออกตัวอย่างสบายๆ ไปกับกลุ่มนักวิ่งหนาแน่น เสียงเครื่องตรวจ Chip ที่เส้น Start ดังระงม ปิ๊บๆๆๆๆๆ เป็นเสียงบอกว่า เริ่มจับเวลาแล้วนะ ไม่ลืมกด Start Garmin ที่ข้อมือ และตามด้วย iPod Shuffle คู่ใจ วันนี้จัดเพลง Easy Listening มาเต็ม ให้เข้ากับธรรมชาติ สายลม และแสงแดดอันอบอุ่น วิ่งชิลๆ ผ่านทางลงเป็นแอ่ง และขึ้นเนินออกจากโรงแรมที่จัดงาน เข้าสู่ถนนทางเรียบ ชอบสายลมเบาๆ ที่ปะทะใบหน้า พัดผ่านลำตัว แขน ขา ขณะวิ่ง ฟังเพลง The 3 R's โดย Jack Johnson คลอไป เผลอย้ิมมุมปากคนเดียว เหมือนคนบ้า ขาดแค่น้ำลายยืด (กลัวคนอื่นสังเกตเห็นมาก) ผ่านจุดให้น้ำแรกไปโดยไม่หยุด มีอาการเหนื่อยหอบบ้างตามปกติ ช่วงนี้ถูกหลายคนแซงไปแล้ว แต่ก็ยังมีสมาธิอยู่กับความเร็วของตัวเอง ไม่ฝืนไปมากกว่านี้ พยายามวิ่งประกบไปกับนักวิ่งแหม่มสาวต่างชาติ ที่มี pace พอๆ กัน เส้นทางเป็นหลุมเป็นร่อง บางช่วงต้องกระโดดหลบร่องดิน สนุกดี
ก่อนเข้าสู่กม.ที่ 4 เหนื่อยมากๆ เริ่มท้อแท้ จนต้องลดความเร็วลง ไม่งั้นมีอาเจียนแน่ๆ เห็นจุดให้น้ำบริเวณทางแยก หยุดรับน้ำดื่ม แล้วกำแก้วเปล่านั้นไว้ในมือ เดินสูดหายใจยาวๆ 4-5 ก้าว จึงออกวิ่งต่อ เข้าเขตเรือกสวนไร่นา ผ่านไร่อ้อย และทุ่งหญ้า ทางดินสีแดง รกและแคบมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้แซงคนที่วิ่งอยู่ข้างหน้าลำบากทีเดียว
6 กม. อาการเหนื่อยอยู่ตัว คือคงไม่เหนื่อยไปมากกว่านี้แล้ว หมดอารมณ์สุนทรีย์ ไม่ไหวแล้ว กระชากหูฟังออก ณ จุดนี้ต้องการความเงียบมากกว่าสิ่งใด ฟังเพลงอะไรก็ไม่เพราะ หงุดหงิดกับตัวเองที่ก้าวขาแทบไม่ออก อยากจะสบถดังๆ เสียงหอบหายใจดังยิ่งกว่าเสียงหวูดรถไฟ ถึงไม่มีตัววัด Heart rate แต่รู้ว่า คงเข้าโซนอันตรายแล้ว หัวใจเต้นสูบฉีดเลือดดังตุบๆๆ แทบทะลุออกจากอก ระหว่างนั้นมีเชิงเขาหิน ต้องวิ่งปีนขึ้น เห็นเพื่อนนักวิ่งที่นำหน้า หยุดวิ่งเอาดื้อๆ ยืนตัวงอ ก้มหน้าอยู่ข้างบนนั้น คงสุดๆ แล้วเหมือนกัน กัดฟันวิ่งถ่อสังขารอันโรยรา ปีนตามขึ้นไป ทำเป็นแตะบ่าเชียร์ให้กำลังใจคนอื่น “ลุยครับ ลุย สู้ๆ” เสียงอ่อยๆ ตอบกลับโดยไม่หันมามองว่า “แฮ่กๆๆ แซง...ไป...เลยพี่ ผม.แฮ่กๆ...ไม่ไหวแล้ว แฮ่กๆ” อยากบอกว่า พี่ก็อยากล้มตัวลงนอนซะตรงนี้เลยเหมือนกัน
วิ่งประคองอารมณ์จนถึง กม.ที่ 8 ผ่านเครื่องตรวจ Chip เสียงดังปิ๊บบบบ! นี่ก็ใกล้เส้น Finish แล้วสินะ น้องแหม่มที่เราวิ่งประกบมาตลอดทาง วิ่งหนีนำหน้าไปไกลสุดกู่ ตอนนี้ต่อให้น้องแหม่มคนนั้น ท้าจับได้ให้หอมแก้มทีนึง ก็ไม่มีปัญญาทำ จะตายอยู่แล้ว สักพักทางดีขึ้น พร้อมๆ กับอาการหอบหายไป เหมือนฟื้นตัว ถึงจุดให้น้ำที่ 3 น้องเจ้าหน้าที่ประจำจุดยื่นแก้วน้ำมาให้ เรามือสั่นระริก จับแก้วน้ำนั้น มารินถ่ายน้ำใส่แก้วที่ถือติดตัวมา แล้วส่งแก้วเปล่าคืน น้องทำหน้างงๆ
รีบดื่มน้ำหมดจนหยดสุดท้าย แล้วออกวิ่งต่อไป พอผ่านทางวิบากแล้วมาเจอทางเรียบลาดยางแบบนี้ ทำให้คิดถึงเพลงฤดูที่แตกต่าง จากนี้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ สวรรค์ชัดๆ เริ่มหายเหนื่อย ควบคุมการหายใจได้ดี เร่งสปีดเร็วขึ้น เร็วได้เรื่อยๆ อารมณ์กลับมาดีอีกครั้ง อีก 1 กม.ก่อนเข้าเส้น Finish ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ วิ่งจี้ตามก้นมาติดๆ พยายามเร่งหนี แต่ยังไงก็ไม่หลุด คนข้างหลัง วิ่งจี้ติดเป็นกางเกงชั้นในเลย จะเอาไงกับผมครับท่าน ในที่สุดก็ถูกวิ่งแซงไป ได้ยินเสียงหายใจเค้าดังมากจนน่ากลัว เป็นชายฝรั่งตัวสูงใหญ่ วิ่งเร็วมาก ไม่รู้รีบไปไหน ถามไม่ทัน
เห็นปากทางเข้าโรงแรมอยู่ไม่ไกล เริ่มผ่อนความเร็วลง เลี้ยวซ้ายเข้าทางตรง มุ่งสู่ซุ้มประตู Finish อารมณ์ตอนนี้ฮึกเหิมเป็นที่สุด สับขาวิ่งเร็วที่สุดในชีวิต ลงเนิน ผ่านช่างภาพ ขึ้นเนิน พุ่งตัวไปข้างหน้าผ่านเส้น Finish เสียงเครื่องตรวจ Chip ดังปิ๊บบบบบ เป็นเสียงปิ๊บที่เพราะที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา พร้อมๆ กับได้ยินผู้ประกาศ ร้องตะโกนผ่านไมโครโฟนว่า "You're the monster!" ใช่ครับ ผมมันปีศาจ!
สรุปสถิติ ทำได้เกินความคาดหมาย
Over all ได้อันดับ 71 จากนักวิ่ง 548 คน
ในกลุ่มอายุเดียวกัน ได้อันดับ 11 จาก 57 คน
:-)
ยินดีด้วยค่ะกับ new PB 10K ทั้งที่เป็นเส้นทางวิบาก
ตอบลบชื่นใจที่ช่วยกันกรีนด้วย
คาดว่าอารมณ์ที่เห็นคนข้างเขวี้ยงแก้วพลาสติกทิ้งข้างทาง ในขณะที่ตัวเองเก็บแก้วนั้นไว้กับตัว คงจะคล้ายๆกับเรา
ครั้งนี้เราก็ไปแข่ง 25K ค่ะ เสียดายไม่มีโอกาสได้เจอกันทั้งๆที่เราก็มาเฉียดฉิวตี 5 เพื่อส่งพี่กล้วยปั่นออกจากเส้นสตาร์ทเหมือนกัน
งาน TNF100 ครั้งนี้สอนให้เรารู้ว่า มาวิ่งเทรลควรใส่รองเท้าเทรลค่ะ
ระบมฝ่าเท้าและหวุดหวิดจะพลิกหลายรอบทีเดียว